จำนวนผู้เข้าชม

Website counter

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

การอ่านคำที่มาจากภาษาอื่น

คำในภาษาไทยมีที่มาจากหลายภาษา ส่วนมากจะมาจากภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต ซึ่งมีหลักในการอ่านดังนี้

๑. ไม่อ่านออกเสียงสระในคำที่มีตัวสะกด เช่น

ธาตุ (ทาด) สมบัติ (สม-บัด) ชาติ (ชาด)

เกตุ (เกด) ปฏิวัติ (ปะ-ติ-วัด) ญาติ (ยาด)

เมรุ (เมน) ปฏิบัติ (ปะ-ติ-บัด)

๒. คำที่มีมากกว่า ๑ พยางค์ มักจะออกเสียง อะ ในตัวสะกดของพยาค์แรก เช่น

วิทยุ (วิด-ทะ-ยุ) สัตวา (สัด-ตะ-วา) กัลบก (กัน-ละ-บก)

อัศวิน (อัด-สะ-วิน) รัตนา (รัด-ตะ-นา) ศิลปะ (สิน-ละ-ปะ)

อุทยาน (อุด-ทะ-ยาน) หัสดี (หัด-สะ-ดี) ศาสนา (สาด-สะ-นา)

กัลบก (กัน-ละ-บก)

๓. อ่านเรียงพยางค์ คือ ออกเสียงสระ อะ ในพยางค์ที่ไม่มีรูปสระ เช่น

กาฬปักษ์ (กา-ละ-ปัก) เจตคติ (เจ-ตะ-คะ-ติ) คีตศิลป์ (คี-ตะ-สิน)

ตาลปัตร (ตา-ละ-ปัด) คมนาคม (คะ-มะ-นา-คม) กรณี (กะ-ระ-นี)

ตาลปัตร (ตา-ละ-ปัด) คีตกวี (คี-ตะ-กะ-วี) มูรธา (มู-ระ-ทา)

ศิลปกรรม (สิน-ละ-ปะ-กำ)

๔. คำบางคำอ่านได้ ๒ แบบ ซึ่งอาจจะออก หรือไม่ออกเสียงสระเชื่อมระหว่างคำก็ได้ เช่น

๕. คำที่มีตัวการันต์ จะไม่ออกเสียงตัวการันต์ เช่น

พักตร์ (พัก) พงศ์ (พง) ทัศน์ (ทัด)

วิจารณ์ (วิ-จาน) ปกรณ์ (ปะ-กอน)
ปรปักษ์ (ปอ-ระ-ปัก / ปะ-ระ-ปัก) ปรโลก (ปอ-ระ-โลก / ปะ-ระ-โลก)

การอ่านคำที่มีตัวการันต์ โดยทั่วไปคำที่มีตัวการันต์จะเป็นคำที่รับมาจากภาษาอื่น
ถ้าคำนั้นมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตจะทำให้เป็นตัวการันต์ ทั้งนี้เพื่อลดจำนวนพยางค์ให้น้อยลงเหมือนคำไทย ซึ่งเป็นคำพยางค์เดี่ยว เช่น สิง ห์ โอษ ฐ์ สวัส ดิ์ เล่ ห์ เกม ส์
ถ้าคำนั้นมาจากภาษาทางตะวันตก จะใช้การันต์เพื่อรักษารูปศัพท์เดิมของคำนั้นไว้
เช่น คอลัมน์ (column) เมล์ (mail) ฟิล์ม (film)
การอ่านคำประสมและคำสมาส ให้สังเกตดูความหมายของคำเป็นสำคัญ ดังนี้
๑. ถ้าเป็นคำประสม คือ ความหมายของคำจะอยู่ที่คำนามข้างหน้า ส่วนคำหลังทำหน้าที่ขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น จึงไม่ต้องอ่านออกเสียงสระต่อเนื่องระหว่างคำนั้น เช่น
จิตใจ (จิด-ใจ) รสทิพ (รด-ทิบ) ทวยเทพ (ทวย-เทบ)
ญาติมิตร (ยาด-มิด) ชนชาติ (ชน-ชาด)
๒. ถ้าเป็นคำสมาส คือ ความหมายของคำจะอยู่ที่คำนามข้างหลัง ส่วนคำหน้าทำหน้าที่ขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น จึงต้องอ่านออกเสียงเชื่อมระหว่างคำ (แบบคำสมาส) โดยออกเสียงสระที่พยางค์ท้ายของคำหน้า เช่น
จิตเวช (จิด-ตะ-เวด) ทิพรส (ทิบ-พะ-รด) เทพบุตร (เทบ-พะ-บุด)
ญาติวงศ์ (ยาด-ติ-วง) ราชการ (ราด-ชะ-กาน) ราชโอรส (ราด-ชะ-โอ-รด)
อักษรศาสตร์ (อัก-สอน-ระ-สาด)
คำยกเว้น : มีบางคำที่พยางค์แรกมาจากภาษาบาลี – ภาษาสันสกฤต แต่พยางค์หลังเป็นคำไทย ซึ่งเป็นลักษณะของคำประสม เวลาอ่านให้ออกเสียงเชื่อมระหว่างคำแบบคำสมาส เช่น
เทพเจ้า (เทบ-พะ-เจ้า) ราชวัง (ราด-ชะ-วัง) พลเรือน (พน-ละ-เรือน)
กรมวัง (กรม-มะ-วัง) ผลไม้ (ผน-ละ-ไม้)
การอ่านคำที่มีเสียง อะ กึ่งมาตรา
ปกติคำไทยที่มีมากกว่า ๑ พยางค์ เราสามารถอ่านได้ตรงตัว
เช่น จุกจิก (จุก-จิก) บากบั่น (บาก-บั่น) รุกราน (รุก-ราน)
แต่มีคำไทยเดิมบางคำที่ออกเสียงตัวสะกด โดยมีเสียง อะ กึ่งมาตรา (หรือ ออกเสียงอะ ไม่เต็มเสียง) เช่น ตุ๊กตา (ตุ๊ก-กะ-ตา) จักจั่น (จัก-กะ-จั่น) ชักเย่อ (ชัก-กะ-เย่อ) ซอมซ่อ (ซอม-มะ-ซ่อ) สัปหงก (สับ-ปะ-หงก) รอมร่อ (รอม-มะ-ร่อ) สัปหงก (สับ-ปะ-หงก) ชุกชี (ชุก-กะ-ชี) สัปเหร่อ (สับ-ปะ-เหร่อ)
การอ่านคำพ้อง
คำพ้องมี ๒ ชนิด คือ คำพ้องรูป และคำพ้องเสียง แต่คำที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านออกเสียงคือคำพ้องรูป (คำที่เขียนเหมือนกัน แต่ออกเสียงต่างกัน และความหมายก็ต่างกันไปด้วย)
เช่น เพลา (เพ-ลา / เพลา) เสมา (เส-มา / สะ-เหมา) สระ (สะ-หระ / สะ) แหน (แน๋ / แหน) เขมา (เข- มา / ขะ- เหม่า)
การอ่านตัว ฤ
๑. ออกเสียงเป็น ริ
- เมื่อเป็นพยางค์หน้าของคำที่มีตัวสะกด เช่น ฤทธิ์ (ริด)
- เมื่อประสมกับตัว ก ด ต ท ป ศ ส เช่น กฤตยา (กริด - ติ- ยา) ตฤน (ตริน) กฤษณะ (กริด- สะ- นะ)
ทฤษฎี (ทริด - สะ- ดี) สฤษฎิ์ (สะ- หริด)
๒. ออกเสียงเป็น รึ
- เมื่ออยู่โดด ๆ ในคำประพันธ์ เช่น ฤ จะมี, ฤ จะอด
- เมื่อเป็นพยางค์หน้าของคำ และมีตัวสะกด เช่น ฤคเวท (รึ - คะ- เวด)
- เมื่อเป็นพยางค์หน้าของคำ แต่ไม่มีตัวสะกด เช่น ฤชา (รึ - ชา) ฤดี (รึ- ดี) ฤดู (รึ- ดู) ฤษี (รึ- สี)
- เมื่อประสมกับตัว ค น พ ม ห เช่น คฤหบดี (คะ - รึ- หะ- บะ- ดี) คฤหัสถ์ (คะ- รึ- หัด) คฤหาสน์ (คะ- รึ- หาด) นฤบาล (นะ - รึ- บาน) พฤติการณ์ (พรึ- ติ- กาน)
๓. ออกเสียง เรอ มีคำเดียวคือ ฤกษ์ (เริก)
 
การอ่านคำประพันธ์
คำบางคำในบทประพันธ์จะต้องอ่านออกเสียงให้ผิดไปจากปกติ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดเสียงสัมผัสที่คล้องจองกันตามข้อบังคับของคำประพันธ์ การอ่านชนิดนี้เรียกว่า “ การอ่านเอื้อสัมผัส” เช่น
ข้อขอเคารพ อภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์ ด้วยใจนิยมบูชา
คำว่า “ อภิวันท์” อ่านว่า อบ-พิ-วัน เพื่อให้สัมผัสกับคำว่า “ เคารพ” (คำว่า “ อบ” สัมผัสกับ “ รพ” )
 
การอ่านตัวเลข มีวิธีการอ่าน ดังนี้
๑.) การอ่านจำนวนเลขตั้งแต่ ๒ หลักขึ้นไป ถ้าเลขตัวท้ายเป็นเลข ๑ ให้ออกเสียงว่า "เอ็ด"
เช่น ๑๑ สิบ-เอ็ด
๒.) การอ่านตัวเลขที่มีจุดทศนิยม
๑. ตัวเลขหน้าจุดทศนิยม ให้อ่านแบบจำนวนเต็ม ตัวเลขหลังจุดทศนิยม ให้อ่านแบบเรียงตัว
เช่น ๑.๒๓๕ หฺนึ่ง-จุด-สอง-สาม-ห้า
.) การอ่านตัวเลขที่แสดงมาตราส่วน หรือ อัตราส่วน
เช่น ๑:๑๐๐, ๐๐๐ หฺนึ่ง-ต่อ-แสน หรือ หฺนึ่ง-ต่อ-หฺนึ่ง-แสน
๔.) การอ่านตัวเลขบอกเวลา
๑. การอ่านชั่วโมงที่ไม่มีจำนวนนาที
เช่น ๐๕.๐๐ น. หรือ ๐๕:๐๐ น. ห้า-นา-ลิ-กา
๕.) การอ่านเลขหนังสือราชการ นิยมอ่านเรียงตัว
เช่น หนังสือที่ รถ ๐๐๐๑/๑๐๒ ลว. ๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๘
อ่านว่า หฺนัง-สือ-ที่ รอ-ถอ สูน-สูน-สูน-หฺนึ่ง ทับ หฺนึ่ง-สูน-สอง ลง-วัน-ที่ สิบ ตุ-ลา-คม พุด-ทะ-สัก-กะ-หฺราด สอง-พัน-ห้า-ร้อย-สาม-สิบ-แปด
๖.) การอ่านเลข ร.ศ. ที่มีการเทียบเป็น พ.ศ. กำกับ
เช่น ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖)
อ่านว่า รัด-ตะ-นะ-โก-สิน-สก ร้อย-สิบ-สอง-ต ฺรง-กับ-พุด-ทะ-สัก-กะ- ห ฺราด สอง- พัน-สี่-ร้อย-สาม-สิบ-หก
๗.) การอ่านบ้านเลขที่
บ้านเลขที่ที่มีเครื่องหมายทับ "/" และบ้านเลขที่ที่ไม่มีเครื่องหมายทับ "/" มีหลักการอ่านเหมือนกัน คือ บ้านเลขที่ซึ่งมีตัวเลข ๒ หลัก ให้อ่านแบบจำนวนเต็ม ถ้ามีตัวเลข ๓ หลักขึ้นไป ให้อ่านแบบเรียงตัวหรือแบบจำนวนเต็มก็ได้ ส่วนตัวเลขหลังเครื่องหมายทับ "/" ให้อ่านเรียงตัว
เช่น บ้านเลขที่ ๑๐ อ่านว่า บ้าน-เลก-ที่ สิบ
๘.) การอ่านรหัสไปรษณีย์
รหัสไปรษณีย์ เป็นกลุ่มตัวเลขที่กำหนดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้ทราบถึงปลายทางของสิ่งที่ส่งทางไปรษณีย์ และใช้แทนรายละเอียดพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้การคัดแยกและส่งต่อสิ่งของทางไปรษณีย์ไปยังปลายทางเป็นไปด้วยความถูกต้องและรวดเร็ว
รหัสไปรษณีย์ประกอบด้วยตัวเลข ๕ ตัว ตัวเลข ๒ ตัวแรกหมายถึงจังหวัด ส่วนตัวเลข ๓ ตัวหลัง หมายถึงที่ทำการไปรษณีย์ของจังหวัดนั้น ๆ เช่น รหัสไปรษณีย์ ๓๒๑๙๐ ตัวเลข ๓๒ หมายถึงจังหวัดสุรินทร์ ส่วนเลข ๑๙๐ หมายถึงที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งรับผิดชอบการนำจ่ายสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ในพื้นที่อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์
การอ่านเลขรหัสไปรษณีย์ให้อ่านตัวเลขแบบเรียงตัว
เช่น รหัสไปรษณีย์ ๓๒๑๙๐ อ่านว่า สาม-สอง-ห ฺนึ่ง-เก้า-สูน
การอ่านคำที่มีเครื่องหมายวรรคตอน
ในบทที่ ๑๑ พี่ได้พูดถึงเรื่อง “ เครื่องหมายวรรคตอน” มาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ ในการเขียนภาษาไทย แต่ในหัวข้อนี้ พี่จะบอกเล่าถึงวิธีการอ่านเครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ เพื่อน้อง ๆ จะได้อ่านเครื่องหมายต่าง ๆ ให้ถูกต้องงัยคะ
๑. การอ่านไปยาลน้อย (ฯ)
ไปยาลน้อยใช้สำหรับละคำยาว ๆ ซึ่งเรารู้จักกันดี โดยจะเขียนแต่คำหน้า และละส่วนท้ายไว้ เวลาอ่านต้องอ่านคำเต็ม เช่น
โปรดเกล้าฯ อ่านว่า โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
น้อมเกล้าฯ อ่านว่า น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม
ฯพณฯ อ่านว่า พะ - นะ- ท่าน
๒. การอ่านไปยาลใหญ่ (ฯลฯ) มีวิธีการใช้ ๒ แบบ คือ
แบบที่ ๑ ใช้สำหรับละข้อความข้างท้าย โดยจะตามหลังข้อความที่อยู่ในประเภทเดียวกัน ซึ่งข้อความเหล่านั้นยังมีอีกมาก แต่ไม่ได้นำมาแสดงไว้
ฯลฯ ถ้าอยู่หลังข้อความใด ๆ ให้อ่านว่า “ อื่น ๆ, เป็นต้น, ละ, และอื่น ๆ”
เช่น สำนักนายกรัฐมนตรีมีหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ ฯลฯ
เวลาอ่านต้องอ่านดังนี้ค่ะ
“สำนักนายกรัฐมนตรีมีหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ และอื่น ๆ หรือ
“สำนักนายกรัฐมนตรีมีหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น
แบบที่ ๒ ใช้ละคำ หรือข้อความที่อยู่ตรงกลาง โดยเขียนแต่ตอนต้น และตอนจบเอาไว้
ฯลฯ ถ้าอยู่กลางข้อความ ให้อ่านว่า “ ละถึง”
เช่น บรรดานักเรียนพากันสวดมนต์ อิติปิ โส ฯลฯ ภควาติ
เวลาอ่านต้องอ่านดังนี้ค่ะ
บรรดานักเรียนพากันสวดมนต์ อิติปิ โส ละถึง ภควาติ
๓. การอ่านไม้ยมก (ๆ)
ไม้ยมกใช้เขียนหลังคำ วลี หรือประโยค เพื่อแสดงการซ้ำคำ ซ้ำความ หรือซ้ำประโยค โดยเวลาอ่านจะอ่านซ้ำคำ ซ้ำคำ หรือซ้ำประโยคที่อยู่ข้างหน้า เช่น
เล็ก ๆ น้อย อ่านว่า เล็ก เล็ก น้อย น้อย
วันหนึ่ง ๆ เธอทำอะไรบ้าง อ่านว่า วันหนึ่ง วันหนึ่ง เธอทำอะไรบ้าง
๔. การอ่านบุพสัญญา หรือบุรพสัญญา ( ?? )
บุพสัญญาใช้เขียนแทนคำหรือข้อความที่อยู่ในบรรทัดเหนือข้างบน เพื่อจะได้ไม่ต้องเขียนซ้ำอีก โดยเวลาอ่านต้องอ่านให้เต็มคำหรือข้อความข้างบน ซึ่งหากคำหรือข้อความยาวสามารถเติมเครื่องหมายบุพสัญญาได้มากกว่า ๑ ตัว โดยจะวางไว้ตรงตำแหน่งใดก็ได้ เช่น
นักเรียนเตรียมทหารขัตติยะ สอบไล่ได้อันดับที่ ๑
” สนธิ ” ๒
” ชลิต ” ๓
เวลาอ่านต้องอ่านให้เต็มว่านักเรียนเตรียมทหารขัตติยะ สอบไล่ได้อันดับที่ ๑
นักเรียนเตรียมทหารสนธิ สอบไล่ได้อันดับที่ ๒
นักเรียนเตรียมทหารชลิต สอบไล่ได้อันดับที่ ๒
๕. การอ่านอักษรย่อ
การใช้อักษรย่อ จะพบมากในหนังสือราชการ หรือหนังสือพิมพ์ค่ะ ซึ่งมีขึ้นก็เพื่อความสะดวกมนการเขียน หรือประหยัดพื้นที่กระดาษ แต่เมื่อเราจำเป็นต้องอ่านออกเสียง ก็ต้องอ่านให้เต็มนะคะ เช่น
ทบ. อ่านว่า กองทัพบก
รร.ตท. อ่านว่า โรงเรียนเตรียมทหาร
กห อ่านว่า กระทรวงกลาโหม
น.ส. อ่านว่า นางสาว

นาฬิกา

ปฎิทิน




Code Calendar by zalim-code.com